“เอกราช ช่างเหลา” ยอมรับสารภาพ “ยักยอกเงิน 431ล้าน” จากสหกรณ์ออมทรัพย์ครู
“เอกราช ช่างเหลา” ยอมรับสารภาพ “ยักยอกเงิน 431ล้าน” จากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น โดยจะชำระคืนพร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ 6.5 นับแต่ปี 62 อย่างน้อยปีละ 50 ล้านบาท ภายใน 5 ปี พร้อมนำหลักทรัพย์ค้ำประกันวางเพิ่ม 142 ล้านบาท
ดร.อนุศาสตร์ สอนศิลพงษ์ ประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น จำกัด ได้ส่งสารจากสหกรณ์ฯถึงสมาชิก ลงวันที่ 26 พ.ย.2564 รายงานความเคลื่อนการดำเนินคดีความอาญา เลขคดีที่ อ 89/2564 ว่า พนักงานอัยการจังหวัดขอนแก่น เป็นโจทก์ สหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น จำกัด เป็นผู้เสียหาย (โจทก์ร่วม) 1)นายนพรัตน์ สร้างนานอก 2)นายสมศักดิ์ โคตวงศ์ 3)นายนิวัฒร นิราศสูงเนิน 4) น.ส.วราพร ธรณี จำเลย และเลขคดีที่ อ 258/2564 พนักงานอัยการจังหวัดขอนแก่น เป็นโจทก์ สหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น จำกัด เป็นผู้เสียหาย (โจทก์ร่วม) นายเอกราช ช่างเหลา จำเลย ร่วมกันยักยอกทรัพย์ ปลอมแปลงเอกสาร(สมุดคู่ฝาก) และคดีความแพ่งคดีหมายเลขดำที่ พE1/2564
ทั้งนี้ในวันที่ 25 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ผู้พิพากษาออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีนี้ เมื่อเวลา 14,30 น.ทนายจำเลยแถลงว่า จำเลยเลขคดีที่ อ 89/2564 จำเลยที่ 1 (นายนพรัตน์ สร้างนานอก)ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา จำเลยที่ 2 นายสมศักดิ์ โคตวงศ์ จำเลยที่ 3 (นายนิวัฒร นิราศสูงเนิน) และจำเลยที่ 4 (น.ส.วราพร ธรณี) จำเลยเลขคดีที่ อ 258/2564 ประสงค์ให้การรับสารภาพในข้อหายักยอกทุกข้อกล่าวหา
และจะปฏิบัติตามข้อตกลง 6 ประการกับโจทก์ร่วม กล่าวคือ 1)จำเลยกับพวก จะร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินคืนโจทก์ร่วม เป็นต้นเงิน 431,862070.43 พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ 6.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2562 จนกว่าจะชำระเสร็จ 2)จำเลยกับพวก จะร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวตามข้อ 1 อย่างน้อยปีละ50,000,000 บาท จะชำระให้แล้วเสร็จภายใน 5 ปี
3) จำเลยกับพวกจะนำหลักทรัพย์ค้ำประกันมาวางเพิ่ม จากหลักทรัพย์ค้ำประกันเดิม ไม่น้อยกว่า 140,000,000 บาทพร้อมทั้งจดจำนองเป็นประกันหนี้กับโจทก์ร่วม 4) หากจำเลยกับพวก ผิดนัดชำระหนี้ตามข้อ 1 งวดใดงวดหนึ่งถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยอมให้โจทก์ร่วมบังคับคดีตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้อง คดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ E๑/2564 ของศาลนี้ได้ทันที
โดยยินยอมให้มีการประเมินราคาหลักทรัพย์ตามราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีออกขายทอดตลาดหากได้เงินไม่พอชำระหนี้ ยินยอมให้บังคับเอาทรัพย์สินอื่นของจำเลยกับพวกได้จนกว่าจะครบและยอมให้มีคำพิพากษาในคดีอาญาต่อไป
5)ในความผิดฐานยักยอกหากจำเลยกับพวก ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินตามข้อ 1 ครบถ้วนแล้วโจทก์ร่วมจะถอนคำร้องทุกข์ในความผิดฐานยักยอก ถ้าไม่ถอนคำร้องทุกข์ ยินยอมให้ความผิดส่วนนี้ระงับตามกฎหมาย 6)ในความผิดเกี่ยวกับเอกสารหากจำเลยกับพวก ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินตามข้อ 1 ครบถ้วนแล้ว โจทก์ร่วมจะไม่แถลงประสงค์ที่จะติดใจเอาความ ไม่ว่าจำเลยกับพวก จะให้การปฏิเสธหรือรับสารภาพแต่ขอให้เป็นดุลพินิจของศาล
ดร.อนุศาสตร์ ระบุว่า ในวันที่ 26 พ.ย.2564 จำเลยได้นำหลักทรัพย์เป็นที่ดิน ราคาประเมินมูลค่าทรัพย์สิน 140,920,000 บาท ไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้กับโจทก์ร่วมเพิ่มเติมตามข้อ 3 ส่วนความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ทนายจำเลยขอเวลาไปตรวจสอบพยานเอกสาร ขอเวลาตรวจสอบ 2 เดือน จะยื่นคำให้การจำเลยภายในนัดหน้ากำหนดนัดสอบคำให้การและนัดคุ้มครองสิทธิอีกครั้งในวันที่ 25 มีนาคม 2565 เวลา 10.00 น.
ในส่วนคดีความแพ่งคดีหมายเลขดำที่ พE1/2564 ผู้พิพากษาออกนั่งพิจารณาคดี เวลา 16.00 น. ให้รอฟังผลคำพิพากษาในคดีส่วนอาญาจึงให้จำหน่ายคดีนี้ออกจากสารบบความเป็นการชั่วคราวหากคดีอาญาดังกล่าวมีคำพิพากษาแล้วให้ทนายโจทก์และทนายจำเลยแถลงต่อศาลเพื่อยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไป
ดร.อนุศาสตร์ ระบุอีกว่า ปัจจุบันสหกรณ์ได้หลักทรัพย์ค้ำประกันในคดีดังกล่าวรวมทั้งสิ้น 439,968,250 บาท ซึ่งครอบคลุมเงินที่หายไปจำนวน 431,862,070.43 บาท คณะกรรมการดำเนินการได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามข้อบังคับและข้อกฎหมาย เมื่อกระบวนการทั้งหมดขึ้นสู่ศาลให้เป็นหน้าที่ของศาลท่านจะโปรดพิจารณาต่อไป แต่มีความมั่นใจว่าสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น จำกัดและสมาชิกไม่เสียประโยชน์อย่างแน่นอน
รายงานระบุว่า นายเอกราช ช่างเหลา ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ เป็นอดีตผู้จัดการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น ถูกตรวจสอบพบว่า ทำการยักยอกเงินออกจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น จำนวน 431 ล้านล้านบาท ตั้งแต่ปี 2554 โดยดร.อนุศาสตร์ สอนศิลแก้ว อดีตผอ.เขตพื้นที่การศึกษาประถามศึกษาเขต 4 ได้เข้ารับตำแหน่งประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่นได้ทำการตรวจพบว่าบัญชีสหกรณ์ออกมาทรัพย์ครูขอนแก่น ของธนาคารไทยพาณิชย์มีแต่ตัวเลขเงินในสมุดบัญชี แต่ไม่มีเงินอยู่ในธนาคาร เมื่อปี 2562 จึงได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีนายเอกราช ช่างเหลา พร้อมพวกดังกล่าว
เมื่อมีการซึ่งการรับสารภาพและทำการเจรจาตกลงกันไปแล้ว เนื่องจากเป็นคดีที่สามารถยอมความกันได้ ส่วนคดีปลอมแปลงเอกสาร (สมุดบัญชีธนาคาร) จะต้องมีการพิจารณาตามกระบวนการต่อไป เนื่องจากเป็นคดีอาญาที่ไม่สามารถยอมความกันได้ รวมทั้งยังมีคดีที่สหกรณ์ได้ฟ้องร้องทางแพ่งต่อนายเอกราช เรียกเงินค่าเสียหายอีกประมาณ 600 กว่าล้านบาทที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาตามกระบวนการเช่นกัน
...............................
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น